CDN คืออะไร? ทำไมเว็บไซต์ของคุณควรใช้ Content Delivery Network?

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจและการเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ ความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานและความสำเร็จของธุรกิจ การโหลดหน้าเว็บที่ช้าอาจทำให้ผู้ใช้ละทิ้งเว็บไซต์ของคุณ และอาจส่งผลกระทบต่ออันดับของเว็บไซต์บนเครื่องมือค้นหา (SEO) นี่คือเหตุผลที่ Content Delivery Network (CDN) หรือเครือข่ายการกระจายเนื้อหามีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์

บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับ CDN คืออะไร? ทำงานอย่างไร? และทำไมเว็บไซต์ของคุณควรใช้ CDN เพื่อช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และเสริมสร้างความปลอดภัย

CDN คืออะไร?

CDN หรือ Content Delivery Network คือเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยให้การส่งข้อมูลและเนื้อหาของเว็บไซต์ไปยังผู้ใช้งานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปกติแล้ว เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลจะถูกโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง (Origin Server) ซึ่งมักตั้งอยู่ในตำแหน่งที่แน่นอน เช่น ศูนย์ข้อมูลในประเทศใดประเทศหนึ่ง ปัญหาคือ หากผู้ใช้งานอยู่ไกลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง การโหลดหน้าเว็บอาจใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากข้อมูลต้องเดินทางผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ

CDN แก้ปัญหานี้โดยสร้าง สำเนาของเนื้อหาเว็บไซต์ (Cached Content) แล้วกระจายไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งที่เรียกว่า Edge Servers ซึ่งตั้งอยู่ในหลายประเทศ เมื่อมีผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ ระบบจะดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แทนที่จะดึงจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยตรง ซึ่งช่วยลดระยะทางที่ข้อมูลต้องเดินทาง ส่งผลให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น

CDN ทำงานอย่างไร?

Content Delivery Network (CDN) มีหน้าที่หลักในการกระจายเนื้อหาเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด เพื่อลดระยะเวลาการโหลดข้อมูล ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง และเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงเว็บไซต์ทั่วโลก กระบวนการทำงานของ CDN มีหลายขั้นตอนและองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้การส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. การแคชข้อมูลและการกระจายเนื้อหาไปยัง Edge Servers

CDN จะดึงข้อมูลจาก เซิร์ฟเวอร์ต้นทาง (Origin Server) และสร้างสำเนาของเนื้อหานั้น จากนั้นกระจายสำเนาไปยัง Edge Servers ที่ตั้งอยู่ในศูนย์ข้อมูลหลายแห่งทั่วโลก

Edge Servers จะเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ในรูปแบบของ แคช (Cache) ซึ่งหมายความว่าหากมีผู้ใช้ร้องขอเนื้อหาจากเว็บไซต์ ระบบ CDN จะให้บริการจาก Edge Server ที่อยู่ใกล้ที่สุดแทนที่จะดึงจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยตรง

ประเภทของข้อมูลที่ CDN สามารถแคชได้ ได้แก่:

  • ไฟล์สแตติก (Static Files) เช่น HTML, CSS, JavaScript
  • รูปภาพและวิดีโอ
  • ไฟล์เสียงและไฟล์มีเดีย
  • เนื้อหาที่สร้างขึ้นแบบไดนามิกบางส่วน (ขึ้นอยู่กับประเภทของ CDN)

2. การเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมที่สุด (Load Balancing & Routing)

CDN ใช้เทคนิคการกำหนดเส้นทาง (Routing) เพื่อเลือก Edge Server ที่เหมาะสมที่สุดในการให้บริการผู้ใช้ เทคนิคที่ใช้ ได้แก่:

  • Geo-based Routing: เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของผู้ใช้มากที่สุด
  • Latency-based Routing: เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ให้เวลาตอบสนองต่ำที่สุด
  • Anycast Routing: กระจายทราฟฟิกไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งพร้อมกัน และเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด

ตัวอย่างเช่น หากมีผู้ใช้จากประเทศไทยเข้าเว็บไซต์ที่ใช้ CDN ระบบจะเลือกให้บริการจาก Edge Server ที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์หรือฮ่องกง แทนที่จะให้โหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางที่อาจอยู่ในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป

3. การตรวจสอบแคชและการอัปเดตเนื้อหา (Cache Invalidation & Purging)

CDN จะมีระบบจัดการแคชเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาที่ให้บริการเป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งทำได้โดย

  • Cache Expiration (TTL – Time to Live): กำหนดอายุของแคชว่าควรหมดอายุเมื่อใด เมื่อครบกำหนด CDN จะดึงข้อมูลใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
  • Cache Invalidation: เจ้าของเว็บไซต์สามารถล้างแคช (Purge Cache) เพื่อให้แน่ใจว่า Edge Servers ใช้ไฟล์เวอร์ชันล่าสุด
  • Stale-while-revalidate: หากแคชหมดอายุ CDN ยังคงให้บริการเนื้อหาที่เก่าอยู่ชั่วคราว ขณะที่เบื้องหลังมีการอัปเดตข้อมูลใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง

4. การลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง (Origin Shielding & Load Distribution)

CDN ไม่เพียงช่วยลดเวลาโหลด แต่ยังช่วยลดปริมาณทราฟฟิกที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง ซึ่งช่วยป้องกันการทำงานหนักเกินไป (Overload) และลดต้นทุนของโฮสติ้ง

เทคนิคที่ใช้เพื่อลดภาระเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง ได้แก่:

  • Origin Shielding: ใช้เซิร์ฟเวอร์กลางของ CDN ทำหน้าที่เป็น “ตัวกันชน” ก่อนที่คำขอจะไปถึงเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
  • Load Distribution: กระจายโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด

5. การรักษาความปลอดภัย (Security & DDoS Protection)

CDN ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องความเร็ว แต่ยังช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์โดย:

  • ป้องกัน DDoS (Distributed Denial of Service Attack): หากมีการโจมตีโดยส่งทราฟฟิกจำนวนมากไปยังเซิร์ฟเวอร์ CDN สามารถกระจายทราฟฟิกออกไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งเพื่อป้องกันการล่ม
  • ซ่อน IP จริงของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง: ทำให้แฮ็กเกอร์ไม่สามารถโจมตีเซิร์ฟเวอร์โดยตรงได้
  • การตรวจสอบและบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย: CDN ใช้ Web Application Firewall (WAF) และระบบตรวจจับบอทเพื่อกรองทราฟฟิกที่ไม่พึงประสงค์

6. การบีบอัดข้อมูลและลด Latency เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

CDN ใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้เนื้อหาถูกส่งไปยังผู้ใช้งานได้เร็วขึ้น ได้แก่:

  • การบีบอัดไฟล์ (Compression): ใช้ Gzip หรือ Brotli เพื่อทำให้ไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript มีขนาดเล็กลง
  • HTTP/2 และ HTTP/3: โปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นโดยการลดจำนวนการร้องขอ (Request)
  • TLS Termination: ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยให้ CDN จัดการเข้ารหัสและถอดรหัส SSL/TLS

7. การให้บริการเนื้อหาสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก (Global Content Delivery)

CDN ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็วจากทุกที่ในโลก โดย ใช้ Edge Server ที่ใกล้ที่สุด ช่วยลดเวลาแฝง (Latency) และทำให้เว็บไซต์สามารถให้บริการได้แม้มีผู้ใช้จากหลายประเทศ

ตัวอย่างสถานการณ์การทำงานของ CDN

กรณีที่ 1: เว็บไซต์ที่ไม่ได้ใช้ CDN

  1. ผู้ใช้จากประเทศไทยพยายามโหลดเว็บไซต์ที่โฮสต์อยู่ในสหรัฐอเมริกา
  2. คำขอ (Request) ต้องเดินทางข้ามทวีปไปยังเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
  3. เซิร์ฟเวอร์ต้นทางต้องประมวลผลและส่งข้อมูลกลับมา
  4. การโหลดหน้าเว็บใช้เวลานาน เนื่องจากข้อมูลต้องเดินทางไกล

กรณีที่ 2: เว็บไซต์ที่ใช้ CDN

  1. CDN สร้างสำเนา (Cache) ของเว็บไซต์บน Edge Server ที่สิงคโปร์
  2. เมื่อผู้ใช้จากประเทศไทยเข้าเว็บไซต์ คำขอจะถูกส่งไปยัง Edge Server ที่สิงคโปร์แทน
  3. Edge Server ให้บริการเนื้อหาโดยไม่ต้องดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
  4. หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง และเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งาน

CDN ทำงานโดย กระจายเนื้อหาไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งทั่วโลก และให้บริการจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง และเพิ่มความปลอดภัย CDN ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การแคชข้อมูล การเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสม การป้องกัน DDoS และการบีบอัดข้อมูล

การใช้ CDN จึงเป็น กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการความเร็ว ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของเว็บไซต์ธุรกิจ E-commerce, เว็บไซต์ข่าว, หรือเว็บแอปพลิเคชัน การใช้ CDN สามารถช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเว็บไซต์ในระยะยาว

ทำไมเว็บไซต์ของคุณควรใช้ CDN?

Content Delivery Network (CDN) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง และเพิ่มความปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้งานคาดหวังการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การใช้ CDN มีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้ดียิ่งขึ้น บทความนี้จะอธิบายเหตุผลสำคัญที่เว็บไซต์ของคุณควรใช้ CDN

1. เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Faster Loading Speed)

หนึ่งในข้อดีที่สำคัญที่สุดของ CDN คือช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น โดย CDN ทำงานผ่าน Edge Servers ที่กระจายอยู่ทั่วโลก เมื่อมีผู้ใช้ร้องขอเนื้อหา เว็บไซต์จะให้บริการจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด แทนที่จะโหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางที่อาจอยู่ห่างไกล

นอกจากนี้ CDN ยังใช้เทคนิคเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเร็ว เช่น

  • การแคชข้อมูล (Caching) เพื่อลดการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
  • การบีบอัดข้อมูล (Compression) เช่น Gzip และ Brotli ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง
  • HTTP/2 และ HTTP/3 ซึ่งช่วยให้การโหลดไฟล์เร็วขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้คือ หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น ลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) และเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น

2. ปรับปรุงอันดับ SEO บนเครื่องมือค้นหา (Better SEO Performance)

Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็วในการจัดอันดับผลการค้นหา (Search Engine Ranking) เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะถูกลดอันดับลง เนื่องจากส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้

CDN ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ได้คะแนน PageSpeed Insights สูงขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสถูกจัดอันดับที่ดีขึ้นบน Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ

3. รองรับปริมาณผู้ใช้จำนวนมาก (Better Scalability & High Traffic Handling)

หากเว็บไซต์ของคุณมีปริมาณผู้ใช้งานสูง หรือมีการเข้าถึงเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ (เช่น เทศกาลลดราคา หรือแคมเปญโฆษณา) CDN จะช่วยรองรับทราฟฟิกได้โดยไม่ทำให้เว็บไซต์ล่ม

CDN กระจายโหลดไปยัง Edge Servers หลายแห่ง ทำให้:

  • ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
  • ป้องกันการเกิด Downtime ในกรณีที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
  • ทำให้เว็บไซต์สามารถรองรับทราฟฟิกที่พุ่งสูงขึ้นได้โดยไม่มีปัญหา

4. ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง (Reduced Server Load & Cost Savings)

หากเว็บไซต์ของคุณต้องให้บริการเนื้อหาจำนวนมากทุกครั้งที่มีผู้ใช้งานเข้าเยี่ยมชม เซิร์ฟเวอร์ต้นทางอาจทำงานหนักเกินไป ทำให้เว็บไซต์ช้าลงหรืออาจล่มได้

CDN ลดภาระนี้โดยทำให้คำขอส่วนใหญ่ถูกให้บริการจาก Edge Servers แทนที่จะต้องส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยตรง ซึ่งช่วยให้:

  • เซิร์ฟเวอร์ต้นทางใช้ทรัพยากรน้อยลง
  • ลดต้นทุนของโฮสติ้งและ Bandwidth โดยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องถูกส่งออกจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง

หากคุณใช้ Web Hosting ที่คิดค่าบริการตามปริมาณ Bandwidth การใช้ CDN สามารถช่วย ลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

5. ป้องกันการโจมตี DDoS และเพิ่มความปลอดภัย (Enhanced Security & DDoS Protection)

CDN ไม่เพียงช่วยเพิ่มความเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ โดยเฉพาะการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น DDoS (Distributed Denial of Service Attack)

การโจมตี DDoS เกิดขึ้นเมื่อมีการส่งทราฟฟิกจำนวนมากไปยังเว็บไซต์เพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถให้บริการได้ CDN สามารถช่วยป้องกันได้โดย:

  • กระจายทราฟฟิกออกไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่ง แทนที่จะให้โหลดไปที่เซิร์ฟเวอร์ต้นทางเพียงแห่งเดียว
  • ใช้ Web Application Firewall (WAF) เพื่อตรวจจับและบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
  • ซ่อน IP จริงของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง ทำให้แฮ็กเกอร์ไม่สามารถโจมตีเซิร์ฟเวอร์ได้โดยตรง

CDN ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น

  • SSL/TLS Encryption เพื่อป้องกันการดักฟังข้อมูล
  • Bot Filtering เพื่อลดทราฟฟิกที่ไม่พึงประสงค์จากบอท

6. รองรับผู้ใช้จากทั่วโลก (Global Reach & Better International Performance)

หากเว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมจากหลายประเทศ CDN จะช่วยให้เนื้อหาโหลดเร็วขึ้นไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใด

โดยปกติแล้ว หากเซิร์ฟเวอร์ของคุณตั้งอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ผู้ใช้ที่อยู่ไกลจากเซิร์ฟเวอร์จะต้องรอการโหลดข้อมูลนานขึ้น แต่ CDN มี Edge Servers กระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้สามารถโหลดเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ลดเวลาแฝง (Latency) และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

ตัวอย่างเช่น

  • หากเว็บไซต์ของคุณโฮสต์ในสหรัฐอเมริกา แต่มีผู้ใช้จากเอเชีย CDN จะให้บริการเนื้อหาจาก Edge Server ที่อยู่ในสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นแทน ซึ่งทำให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้นมาก

7. ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization)

ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก การใช้ CDN ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นบนอุปกรณ์พกพา ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ตมากกว่าการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์

CDN ช่วยปรับปรุงประสบการณ์บนมือถือโดย

  • ลดเวลาโหลดของหน้าเว็บบนเครือข่ายมือถือที่มีความเร็วต่ำ
  • บีบอัดข้อมูลให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพา
  • รองรับการแสดงผลแบบ Responsive และ AMP (Accelerated Mobile Pages)

CDN เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเร็ว ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง และเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ เหตุผลหลักที่เว็บไซต์ของคุณควรใช้ CDN ได้แก่:

  1. ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น โดยให้บริการจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด
  2. ช่วยปรับปรุงอันดับ SEO ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นบนเครื่องมือค้นหา
  3. รองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก ลดปัญหาความล่าช้าในช่วงที่มีทราฟฟิกสูง
  4. ลดภาระและต้นทุนของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง โดยกระจายโหลดไปยัง CDN
  5. เพิ่มความปลอดภัย ป้องกัน DDoS และบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
  6. รองรับผู้ใช้จากทั่วโลก ให้บริการเนื้อหาได้รวดเร็วในทุกภูมิภาค
  7. เพิ่มประสบการณ์การใช้งานบนมือถือ โดยลดเวลาโหลดและปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสม

หากเว็บไซต์ของคุณต้องการ ความเร็ว ความเสถียร และความปลอดภัยที่ดีขึ้น การใช้ CDN ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและจำเป็นในยุคดิจิทัล

ตัวอย่าง CDN ที่ได้รับความนิยม

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ CDN หลายรายที่ได้รับความนิยม เช่น

  • Cloudflare – เป็นหนึ่งใน CDN ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการป้องกัน DDoS
  • Akamai – เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการ CDN ระดับ Enterprise
  • Amazon CloudFront – CDN ของ AWS ที่เหมาะสำหรับนักพัฒนาและธุรกิจที่ใช้ AWS อยู่แล้ว
  • Google Cloud CDN – เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Google Cloud Platform
  • Fastly – มีความเร็วสูงและเหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการ Low Latency

บทสรุป

CDN เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการเพิ่มความเร็ว ลดเวลาโหลด ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับระบบ CDN ทำงานโดยการกระจายเนื้อหาไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งทั่วโลก และให้บริการจากจุดที่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งช่วยลดเวลาแฝง ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง และป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์