SEO Checklist ปี 2024: สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับทุกเว็บไซต์ที่ต้องการให้มีการเข้าถึงจากผู้ใช้และติดอันดับในผลการค้นหาของ Google ในปี 2024 การปรับแต่ง SEO ได้พัฒนาไปจากอดีตมาก การเข้าใจสิ่งที่สำคัญในปีนี้จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นี่คือเช็คลิสต์ที่ควรทำเพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ

1. การทำความเข้าใจ Intent ของผู้ใช้

ในโลกของการทำ SEO การเข้าใจ intent หรือเจตนาของผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดย intent คือความตั้งใจหรือจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้ใช้เมื่อพิมพ์คำค้นหาลงในเครื่องมือค้นหา เช่น Google การทำความเข้าใจ intent ของผู้ใช้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถตอบโจทย์ผู้ค้นหาผ่านเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่า ซึ่งในปี 2024 นี้ Google มุ่งเน้นการจัดอันดับเว็บไซต์ตามความตั้งใจของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

ประเภทของ User Intent

  1. Informational Intent
    ผู้ใช้ที่มี intent ประเภทนี้ต้องการหาข้อมูลหรือคำตอบสำหรับคำถามที่กำลังสงสัย ตัวอย่างเช่น การค้นหาคำถามเช่น “วิธีการทำ SEO” หรือ “ประโยชน์ของการออกกำลังกาย” ในกรณีนี้ ผู้ใช้ต้องการข้อมูลที่ให้คำตอบตรงประเด็น เนื้อหาบนเว็บไซต์จึงควรมีความละเอียด ชัดเจน และอัปเดต

  2. Navigational Intent
    ผู้ใช้ที่มี intent นี้ต้องการเข้าถึงเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเฉพาะ เช่น การค้นหาคำว่า “Facebook login” หรือ “เว็บไซต์ของบริษัท Apple” ผู้ใช้ประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายชัดเจนและต้องการไปยังหน้าเว็บไซต์ที่มีความเฉพาะเจาะจง การมีการจัดทำ URL และการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายและรวดเร็ว

  3. Transactional Intent
    ผู้ใช้ประเภทนี้มีความตั้งใจที่จะทำการซื้อสินค้าหรือบริการ ตัวอย่างเช่น การค้นหาคำว่า “ซื้อมือถือ Samsung” หรือ “จองตั๋วเครื่องบินราคาถูก” การตอบสนองกับ intent ประเภทนี้ต้องมีเนื้อหาที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินค้า หรือบริการ รวมถึงข้อมูลการติดต่อ การชำระเงิน หรือข้อเสนอพิเศษที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

วิธีการปรับแต่ง SEO ให้สอดคล้องกับ User Intent

  1. การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์
    การเข้าใจ intent ของผู้ใช้ช่วยให้สามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการได้ เช่น หากผู้ใช้กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ SEO คุณควรสร้างบทความที่ตอบคำถามนี้อย่างครบถ้วนโดยละเอียด เช่น คำแนะนำเกี่ยวกับการทำ SEO ขั้นตอนต่างๆ หรือเคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

  2. การใช้คำหลัก (Keywords) อย่างเหมาะสม
    การเลือกคำค้นหาที่สอดคล้องกับ intent เป็นสิ่งสำคัญ คุณต้องเลือกคำหลักที่ตรงกับประเภทของ intent และนำมาใช้ในเนื้อหาบนเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณตอบโจทย์ผู้ใช้ได้

  3. การพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)
    การตอบสนองตาม intent ของผู้ใช้ไม่เพียงแค่การมีเนื้อหาที่ดี แต่ยังต้องมีการออกแบบเว็บไซต์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลหรือทำธุรกรรมได้สะดวก เช่น การโหลดหน้าเว็บที่เร็วและการออกแบบให้รองรับการใช้งานทั้งบนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่

สรุป การเข้าใจ intent ของผู้ใช้เป็นปัจจัยที่สำคัญในยุคปัจจุบันของ SEO การรู้ว่าผู้ใช้ต้องการอะไรจะช่วยให้เว็บไซต์สามารถตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างตรงประเด็นและมีคุณค่า การปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ intent จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีบน Google และสามารถดึงดูดผู้ใช้ให้กลับมาใช้งานเว็บไซต์ของคุณอีกครั้ง

2. อัปเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์

การอัปเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นกระบวนการที่สำคัญในการรักษาความเกี่ยวข้องและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google เนื้อหาที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ดูสดใหม่และมีความน่าสนใจสำหรับผู้ใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Google ให้ความสำคัญ เนื้อหาที่ล้าสมัยหรือไม่มีการปรับปรุงจะทำให้เว็บไซต์ของคุณดูไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ค้นหา

การอัปเดตเนื้อหาสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ การปรับปรุงบทความให้มีความทันสมัย การแก้ไขลิงก์ที่เสีย หรือการปรับปรุงเนื้อหาที่ไม่ตรงกับการค้นหาปัจจุบัน การอัปเดตเนื้อหาทั้งหมดนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความเหมาะสมกับคำค้นหาปัจจุบันและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

3. ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed)

ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์หมายถึงเวลาที่ใช้ในการโหลดข้อมูลทั้งหมดของหน้าเว็บจนถึงการแสดงผลให้ผู้ใช้เห็น การที่เว็บไซต์มีความเร็วในการโหลดที่ดีไม่เพียงแค่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ แต่ยังมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับใน Google ด้วย ในปี 2024 Google ยังคงใช้ความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ เนื่องจากเว็บไซต์ที่โหลดช้าสามารถทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและออกจากเว็บไซต์ไปโดยไม่ดูเนื้อหาของคุณ

เหตุผลที่ความเร็วเว็บไซต์สำคัญ

  1. ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience): หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้จะรู้สึกไม่สะดวกและอาจออกจากเว็บไซต์ไปทันที การมีเว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้เร็วขึ้นและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (bounce rate)

  2. การจัดอันดับใน Google: Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความเร็วในการโหลดสูง เพราะเว็บไซต์ที่โหลดช้ามักจะมีประสบการณ์ผู้ใช้ที่แย่ ซึ่งอาจทำให้ Google ลดการจัดอันดับเว็บไซต์นั้นๆ

  3. การรักษาผู้ใช้: เมื่อเว็บไซต์โหลดเร็ว ผู้ใช้อยากอยู่และใช้เวลานานขึ้นบนเว็บไซต์นั้น ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ

วิธีการปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์

  1. บีบอัดรูปภาพ: รูปภาพที่มีขนาดใหญ่สามารถทำให้เว็บไซต์โหลดช้าได้ การใช้เครื่องมือบีบอัดภาพจะช่วยลดขนาดไฟล์รูปภาพโดยไม่สูญเสียคุณภาพมากเกินไป

  2. ลดการใช้งาน JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น: การใช้โค้ดที่ซับซ้อนมากเกินไป เช่น JavaScript และ CSS ที่ไม่ได้ใช้สามารถทำให้เว็บไซต์โหลดช้าได้ การปรับแต่งหรือลบโค้ดที่ไม่จำเป็นจะช่วยเพิ่มความเร็วได้

  3. ใช้ Content Delivery Network (CDN): CDN ช่วยกระจายข้อมูลของเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในหลายๆ จุดทั่วโลก ซึ่งทำให้การโหลดเว็บไซต์เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้ในพื้นที่ต่างๆ

  4. ใช้การเก็บข้อมูลในแคช (Caching): การตั้งค่าการเก็บข้อมูลในแคชสามารถช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นในการเข้าชมครั้งถัดไป โดยที่ไม่ต้องดึงข้อมูลทั้งหมดจากเซิร์ฟเวอร์ทุกครั้ง

  5. เลือกโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ: การเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพและสามารถรองรับการโหลดข้อมูลได้เร็วจะช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

เครื่องมือที่สามารถใช้ตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์

  • Google PageSpeed Insights: เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์และให้คำแนะนำในการปรับปรุง

  • GTmetrix: เครื่องมือที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับความเร็วของเว็บไซต์และแนวทางในการปรับปรุง

  • Pingdom: ช่วยในการตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์จากสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก

การมีเว็บไซต์ที่โหลดเร็วไม่เพียงแค่ช่วยในเรื่องของ SEO แต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้และลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในระยะยาว

4. การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-Friendliness)

การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-Friendliness) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการจัดอันดับบน Google ในปัจจุบัน เนื่องจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต กลายเป็นช่องทางหลักของผู้ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เหตุผลที่เว็บไซต์ต้องเหมาะสมกับอุปกรณ์เคลื่อนที่

  1. เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience): หากเว็บไซต์สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอของมือถือ ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นและไม่รู้สึกหงุดหงิดจากการต้องซูมหน้าจอหรือเลื่อนหาข้อมูล การเพิ่มประสิทธิภาพในด้านนี้ทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง

  2. การใช้งานที่สะดวก: เว็บไซต์ที่ออกแบบมาให้รองรับการใช้งานบนมือถือจะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาหรือบริการได้สะดวก เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ การดูข้อมูล หรือการติดต่อผ่านแบบฟอร์มต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาแค่หน้าจอคอมพิวเตอร์

วิธีการปรับเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์เคลื่อนที่

  1. การออกแบบ Responsive: ใช้การออกแบบแบบ responsive design คือการออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบและเลย์เอาต์ตามขนาดของหน้าจอ เช่น หากผู้ใช้เปิดเว็บไซต์บนสมาร์ตโฟน หน้าจอของเว็บไซต์จะปรับให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอโดยอัตโนมัติ

  2. ขนาดภาพและไฟล์ที่เหมาะสม: ควรลดขนาดของภาพหรือไฟล์ที่มีขนาดใหญ่เกินไป เนื่องจากการโหลดไฟล์ขนาดใหญ่อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าบนมือถือ การใช้ไฟล์ภาพที่มีความละเอียดพอเหมาะและการบีบอัดไฟล์สามารถช่วยลดเวลาในการโหลดได้

  3. การปรับขนาดฟอนต์: ขนาดฟอนต์ต้องอ่านง่ายและไม่เล็กเกินไป โดยเฉพาะบนหน้าจอมือถือ ซึ่งพื้นที่มีจำกัด การใช้ฟอนต์ขนาดเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องซูม

  4. ปรับปุ่มและลิงก์ให้ใช้งานง่าย: ปุ่มและลิงก์ในเว็บไซต์ควรมีขนาดใหญ่พอสมควรและสามารถคลิกได้ง่ายบนหน้าจอสัมผัสของสมาร์ตโฟน การทำให้ปุ่มมีระยะห่างที่เพียงพอจะช่วยป้องกันการคลิกผิด

  5. ทดสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์หลายประเภท: การทดสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่หลากหลายประเภทช่วยให้มั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ทำงานได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดสอบกับระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน เช่น iOS และ Android

เครื่องมือที่สามารถใช้ตรวจสอบ Mobile-Friendliness
Google มีเครื่องมือที่สามารถใช้ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะสมกับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือไม่ เช่น “Mobile-Friendly Test” จาก Google Search Console ซึ่งจะช่วยบ่งชี้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นบนมือถือและให้คำแนะนำในการปรับปรุง

การทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังเป็นปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาบนมือถือด้วย ดังนั้น การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับมือถือจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในยุคปัจจุบัน

5. การใช้ Structured Data (Schema Markup)

Structured data หรือ schema markup คือการเพิ่มข้อมูลพิเศษในรูปแบบที่เป็นโครงสร้างลงในเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาความเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การเพิ่มข้อมูลที่ระบุว่าเนื้อหานั้นคือบทความ, รีวิว, หรือผลิตภัณฑ์ และมีข้อมูลเพิ่มเติมเช่น ชื่อ, วันที่, ราคา หรือการให้คะแนน

การใช้ schema markup ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในรูปแบบที่ดึงดูดใจมากขึ้นในผลลัพธ์การค้นหาของ Google เช่น การแสดงผลในรูปแบบ rich snippets ที่อาจรวมถึงภาพ, ดาวรีวิว, เวลาเปิดร้าน, หรือคำถามที่พบบ่อย ซึ่งช่วยเพิ่มการมองเห็นและคลิกของผู้ใช้

การใช้ schema markup ยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถให้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีโอกาสในการติดอันดับที่ดีกว่า

6. การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ

การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพหมายถึงการได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์คุณ โดยลิงก์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณในมุมมองของ Google ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ Backlink มีคุณภาพ เช่น:

  1. ความเกี่ยวข้อง: ลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณจะมีคุณค่ามากกว่า ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

  2. อำนาจของเว็บไซต์ (Domain Authority): ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีอำนาจสูง เช่น เว็บไซต์ข่าวหรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ

  3. การได้ลิงก์จากแหล่งที่มีความเชื่อถือ: การได้ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ เช่น การถูกพูดถึงในบล็อกที่มีชื่อเสียงหรือการรีวิวจากผู้มีอิทธิพลในวงการ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของคุณ

  4. ความหลากหลายของลิงก์: การได้รับ Backlink จากแหล่งที่หลากหลาย เช่น บล็อก, ฟอรัม, หรือเว็บไซต์ข่าว จะทำให้ลิงก์ดูเป็นธรรมชาติและมีคุณค่ามากขึ้น

  5. การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ: การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีประโยชน์เป็นวิธีที่ดีในการดึงดูด Backlink โดยไม่ต้องพยายามขอหรือแลกเปลี่ยนลิงก์

การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพไม่ควรใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายหรือเป็นการหลอกลวง เช่น การซื้อ Backlink หรือการแลกลิงก์แบบไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เว็บไซต์ถูกลงโทษจาก Google ได้

7. ประสิทธิภาพของ Core Web Vitals

Core Web Vitals คือชุดของการวัดที่ Google ใช้เพื่อประเมินประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ โดยเฉพาะในด้านการโหลดและการตอบสนองของเว็บไซต์ ปัจจัยหลักที่สำคัญใน Core Web Vitals มี 3 ตัวหลัก:

  1. Largest Contentful Paint (LCP): วัดเวลาที่ใช้ในการโหลดองค์ประกอบหลักบนหน้าเว็บไซต์ เช่น ภาพหรือข้อความที่ใหญ่ที่สุด LCP ที่ดีควรต่ำกว่า 2.5 วินาที

  2. First Input Delay (FID): วัดระยะเวลาที่ใช้ในการตอบสนองเมื่อผู้ใช้เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ เช่น การคลิกปุ่มหรือการเลื่อนหน้าจอ FID ที่ดีควรต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที

  3. Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรของการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ โดยการคำนวณการเคลื่อนที่ขององค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ใช้คลิกผิดหรือรู้สึกไม่สะดวก การควบคุม CLS ให้อยู่ต่ำกว่า 0.1 จะช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้น

การรักษาความสมดุลของ Core Web Vitals ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานได้อย่างราบรื่น ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google และทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น

8. การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search)

การค้นหาด้วยเสียงได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2024 ผู้ใช้มักจะถามคำถามที่ยาวขึ้นและเป็นธรรมชาติ ดังนั้น การเพิ่มคำหลักที่เป็นคำถาม (question keywords) และการทำให้เนื้อหาของคุณตอบคำถามในลักษณะที่ชัดเจนจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับความนิยมจากการค้นหาด้วยเสียง

9. การใช้ Video Content และ YouTube

เนื้อหาวิดีโอเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้ใช้งานในปี 2024 Google ชอบเนื้อหาวิดีโอที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคำค้นหา การทำ SEO สำหรับ YouTube หรือการฝังวิดีโอลงในหน้าเว็บไซต์ของคุณสามารถเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลลัพธ์การค้นหา

10. การรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ (HTTPS)

การใช้ HTTPS เป็นปัจจัยที่สำคัญใน SEO Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ปลอดภัยและมีการเข้ารหัสข้อมูล ผู้ใช้จะรู้สึกปลอดภัยเมื่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีการใช้ HTTPS ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

บทสรุป

การทำ SEO ในปี 2024 ไม่เพียงแค่เกี่ยวกับการใช้คำหลักที่เหมาะสมหรือการสร้างลิงก์เท่านั้น แต่ยังต้องมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้, การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า, และการทำให้เว็บไซต์เข้าถึงได้ง่ายบนทุกอุปกรณ์ การปฏิบัติตามเช็คลิสต์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google และดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น

รับทำ SEO 300 คำ